ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

สีผสมอาหารจากธรรมชาติ





การใช้สีผสมอาหารมีจุดประสงค์เพื่อให้อาหารแลดูสวยงาม น่ารับประทาน ซึ่งสามารถดึงดูดใจผู้บริโภคทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่เราจะใช้ยังไงให้ปลอดภัย ถ้าเราต้องซื้ออาหารที่เค้าทำขายตามท้องตลาด ซึ่งผู้ค้าสมัยนี้หาคนที่มีสำนึกรับผิดชอบได้น้อยมาก โอกาสที่เราจะได้รับอันตรายจากสีสังเคราะห์ที่ใช้ผสมอาหารนั้นมีมาก ทางที่ดีถ้าเรามีฝีมือในการทำอาหารอยู่บ้างแล้ว แนะนำให้ทำทานเองที่บ้านดีกว่า ถึงแม้ว่าการทำครั้งแรกอาจจะไม่อร่อยถูกปากเหมือนกับที่ซื้อเค้ามา แต่ถ้าเราทำบ่อยๆ เราก็สามารถพัฒนาฝีมือของเราเองไปเรื่อยๆ แถมยังได้อาหารที่สด สะอาดและปลอดภัยอีกด้วย วันนี้เรามีวิธีการนำสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ ที่หลายคนยังไม่เคยรู้ว่าทำได้ มาทำสีผสมอาหาร ยังไงลองเอาไปทำดูนะคะรับรองว่าปลอดภัยจากอันตรายจากสีสังเคราะห์ 100 %


สีเหลือง
ขมิ้น นำเหง้าแก่ ล้างด้วยน้ำสะอาดปอกเปลือกแล้ว นำไปบดให้ละเอียด เติมน้ำลงไปแล้วคั้นและกรองจะได้น้ำสีเหลืองเข้ม
ฟักทอง นำเนื้อฟักทอง ปอกเปลือกออก ฝานไส้และเมล็ดทิ้ง ล้างให้สะอาด นึ่งให้สุก เอามายีผสมกับแป้งหรืออาหารตามต้องการ
ลูกตาล นำผลตาลสุก ปอกเปลือกออก เติมน้ำลงไปเล็กน้อย นวดเอาเนื้อสีเหลืองออกให้หมดจากเส้นใย เทลงถุงผ้าหนาๆ มัดปากถุงแล้วทับให้แห้ง จะได้เนื้อลูกตาลสีเหลือง
ดอกคำสฝอย นำดอก น้ำมาชงในน้ำร้อนจะได้น้ำสีเหลือง
ดอกกรรณิการ์ ส่วนที่ใช้คือหลอดดอก นำหลอดดอกในปริมาณ 1 ถ้วย ใสในผ้าขาวบาง หยุดน้ำใส่เล็กน้อยแล้วคั้นเอาแต่น้ำไปใช้
ลูกพุด ผลแก่หรือผลแห้ง แกะเปลือกออกแล้วนำไปแช่ในน้ำร้อนแล้วนำน้ำไปใช้

สีแดง
รังครั่ง นำรังครั่งมาแช่ในน้ำร้อน กรอง จะได้น้ำสีแดงใส
ข้าวแดง เมล็ดข้าวแดง นำเมล็ดข้าวแดงมาบดให้ละเอียด แล้วนำไปผสมอาหาร
กระเจี๊ยบ กรีบรองดอกและกลีบเลี้ยง นำมาต้มในน้ำ เคี่ยวให้สีแดงออกมา กรองเอากากออก นำน้ำที่ได้ไปใช้แต่งสี
ถั่วแดง เมล็ดหถั่วแดง ล้างให้สะอาดแล้วต้มเคี่ยวกับน้ำ แล้วนำน้ำสีแดงที่ได้ไปผสมกับอาหาร

สีเขียว
ใบเตย นำใบเตยสด ล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นท่อนตามขวาง ตำหรือโขลก เติมน้ำลงไปเล็่กน้อยแล้วคั้น กรองด้วยผ้าขาวบางจะได้น้ำสีเขียว

สีส้มอมเหลือง
เมล็ดคำแสด เมล็ดผลของคำแสด นำมาบดแล้วแชช่น้ำ รองเอากากออก ตั้งทิ้วไว้ ให้สีตกตะกอนรินน้ำใส่ๆ ทิ้ง นำตะกอนสีแสดไปใช้แต่งสี

สีน้ำตาล
น้ำตาลจากอ้อยหรือมะพร้าว โดยใช้น้ำตาลทรายและน้ำตาลปึก นำไปเคี่ยวไฟอ่อนๆ จนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลนำไปใช้แต่งสีได้

สีน้ำเงิน
ดอกอัญชัน นำกลีบดอกมาบด เติมน้ำลงไปเล็กน้อย กรองด้วยผ้าขาวบาง คั้นน้ำออกมาจะได้นำสีน้ำเงิน

สีม่วง
ดอกอัญชัน นำกลีบดอกมาบด เติมน้ำลงไปเล็กน้อย กรองด้วยผ้าขาวบาง คั้นน้ำออกมาจะได้นำสีน้ำเงิน เติมน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อยจะได้สีม่วง
แก้วมังกร นำเนื้อแก้วมังกรที่มีข้างในสีม่วง มาคั้นแล้วกรองเอาน้ำ นำน้ำที่ได้ไปใช้แต่งสีม่วง ถ้าต้องการสีชมพูก็นำน้ำไปใช้ผสมในปริมาณ น้อยก็จะได้สีชมพู

สีดำ
ถั่วดำ นำเมล็ดถั่วดำมาล้างให้สะอาด ต้มเคี่ยวกับน้ำจะได้สีดำ
มะพร้าว นำเปลือกมะพร้าวมาเผาไฟ แล้วเอาไปบดผสมกับน้ำแล้วกรอง จะได้น้ำสีดำนำไปใช้ผสมอาหาร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แป้งสาลี

หลายๆท่านที่เคยทำขนมทำเบเกอรี่มาก็ไม่รู้ซักกี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ต้อง มีส่วนประกอบของแป้งสาลี เช่น ขนมปัง ขนมเค้ก พิซซ่า บะหมี่ คุ้กกี้ ฯลฯ อาหารต่างๆ เหล่านี้ล้วนทำมาจากแป้งสาลีทั้งสิ้น แป้งสาลีจึงถือว่าเป็นวัตถุดิบที่มีบทบาทสำคัญมากต่อการปรุงอาหารในปัจจุบัน แต่จะมีคนซักกี่คนที่จะรู้จักที่มาที่ไปของแป้งสาลีดีพอ วันนี้เลยมีเรื่องเกี่ยวกับแป้งสาลีมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อที่จะได้รู้จักแป้งสาลีกันมากขึ้น ในสมัยก่อนแป้งสาลีนั้นเราได้จากการบดหรือโม่เมล็ดข้าวให้ได้แป้ง โดยใช้โม่หินเมื่อเวลาผ่านมามนุษย์สมัยก่อนได้รู้จักการผสมแป้ง และน้ำเข้าด้วยกันจนกลายเป็นก้อนโด(Dough)และนำก้อนโดนี้ ไปอบบนหินเผาไฟก้อนโดนี้จะมีลักษณะแข็งภายนอก เนื้อในนุ่ม ซึ่งเหมือนกับการอบขนมปังทั่วๆ ไปนั่นเอง คิดว่าน่าจะเป็นโอกาสอันดีที่เราควรจะมารู้จักแป้งสาลีให้ดีขึ้น เพื่อที่จะได้นำแป้งสาลีไปใช้ได้ถูกต้องกับการทำอาหาร แต่ละชนิด แป้งสาลีมีคุณสมบัติแตกต่างจากแป้งชนิดอื่นคือ เมื่อผสมน้ำในอัตราส่วนที่ถูกต้องโปรตีนในแป้งจะจับตัวกัน เกิดเป็นก้อนโด (Dough) มีลักษณะเหนียวแต่ยืดหยุ่นได้ สามารถที่จะเก็บแก๊สไว้ได้ ซึ่งจะเป็นโครง

ไข่ปลาทอด

ไข่ปลาก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่าทานบ่อยไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ เพราะคอเลสเตอรอลสูงมากๆ แต่มันก็อดใจไม่ไหว มันอร่อย คราวที่แล้วก็ทำเมนู ต้มยำไข่ปลา ไปแล้ว คราวนี้ก็ไข่ปลาอีกแล้วแต่เป็นเมนูไข่ปลาทอดแทน ไม่ไหวแล้วขอตัวไปทานไข่ปลาทอดก่อนดีกว่า สิ่งที่้ต้องเตรียม ไข่ปลายี่สก 400 กรัม กระเทียม 7 กลีบ พริกไทย 1/2 ช้อนชา ซีอิ้วชาว 1 ช้อนโต๊ะ ผงปรุงรส 1 ช้อนชา แป้งโกกิ 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำไข่ปลาทอด - แกะเปลือกกระเทียมออก ทุบกระเทียมหยาบๆ แล้วสับให้ละเอียด - ล้างไข่ปลาแล้วฉีกพวงไข่ปลาให้แยกออกจากกัน (ส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มไม่แน่ใจว่าเค้าเรียกว่าอะไร) - มักไข่ปลากันกระเทียม พริกไทย ซีอิ้วขาว ผงปรุงรส หมักทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที - ละลายแป้งโกกิกับน้ำเย็นให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเทใส่ชามที่หมักไข่ปลา ค่อยๆ คนให้เข้ากัน - ตั้งกระทะใส่น้ำมันสำหรับทอด ปรับไฟกลางถึงอ่อน พอร้อนใส่ไข่ปลาลงไปทอด - ขณะที่ทอดห้ามคน รอให้ข้างล่างสุกกรอบก่อนค่อยกลับอีกด้านลงไปทอดให้เหลืองกรอบทั้งสองด้าน จึงตักพักไว้บนกระดาษซับน้ำมัน - จัดใส่จานเสิร์ฟทานกับผักสดและพริกน้ำปลาแซ่บหลายเด้อ

แกงกะหล่ำปลีใส่หมู

ไปเที่ยวที่บ้านกลับมาคราวนี้ เราแบกผักสดมาจากบ้านเยอะมาก มีทั้งลูกขนุนอ่อน ถั่วฝักยาว พริกหนุ่ม กระเทียมสด มะเขือเทศ แล้วยังมีกะหล่ำปลีอีกด้วย ทุุกอย่างเป็นผลิตผลจากสวนของน้าซึ่งเป็นน้องชายของแม่ทั้งนั้น วันนี้เราเลยลงมือทำแกงกะหล่ำปลีใส่หมู ซึ่งเป็นสูตรอาหารของชาวเหนือแท้ๆ มาค่ะมาดูว่าแกงกะหล่ำปลีใส่หมูของสาวเหนือเช่นเราทำกันยังไงน๊า สิ่งที่ต้องเตรียม กะหล่ำปลีซอยหยาบๆ 1 หัว (ประมาณ 500 กรัม) เนื้อหมูหั่นชิ้นพอดีคำ 250 กรัม มะเขือเทศสีดาผ่าครึ่ง 5-6 ลูก พริกขี้หนูแห้ง 12 เม็ด กระเทียม 7 กลีบ หอมแดง 2 หัว เกลือป่น 1/2 ช้อนชา กะปิ 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ ต้นหอมผักชีซอย 2-3 ต้น วิธีทำแกงกะหล่ำใส่หมู - เรามาลงมือตำน้ำพริกกันก่อนค่ะ โดยนำพริกแห้ง หอมแดง กระเทียม เกลือป่น และกะปิ ใส่ครกตำให้ละเอียด - เอาหมูใส่ลงไปในหม้อ ตักน้ำพริกแกงที่ตำไว้ใส่ตามลงไป - ใช้น้ำเปล่าล้างครกให้เกลี้ยง เทใส่ลงไปในหม้อ คนให้พริกแกงละลาย ยกหม้อขึ้นตั้งไฟ คั่วไปเรื่อยๆ จนน้ำเริ่มแห้ง ทีนี้ก็ใส่น้ำลงไปกะให้ท่วมเนื้อหมูและกะหล่ำปลี ตั้งทิ้งไว้รอให้เดือด - พอน้ำในหม้อเดือด ก็ใ่ส่กะหล่ำปลีลงไป ใช้ทัพพีกดเบาๆ ให